วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง

7 วิธีคิดอย่างคนเก่ง
การเป็นคนเก่งไม่ใช่ความโชคดีของพันธุกรรมหรอกครับ อยู่ที่การฝึกขัดเกลาสมองและหัวใจของคุณต่างหาก แล้วคุณจะมีความปราดเปรื่อง ในแบบฉบับของคุณ เป็นคนเก่งที่สามารถจัดการกับชีวิตของตนเองได้อย่างลงตัว
1.      คิดในทางที่ดี
มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ
 
พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ
2.      มีศรัทธาในตัวเอง
ถ้าแม้แต่ตัวคุณเองยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเองแล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ จะเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใครๆเขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน
3.      ขอท้าคว้าฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัวหรอกครับ ความกระหายอันแรงกล้าที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมายนั่นแหล่ะ เป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้
4.      ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา
 
เผื่อว่าเราจะได้ไอเดียดีๆ มาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวโลดสู่ความสำเร็จกับเขามั่ง
5.      เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใครๆอยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ มากกว่าคนที่หน้าตาแบกโลกนะครับ นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเยี่ยม ที่ทำให้เราดูเป็นอ่อนเยาว์กว่าวัยตลอดกาล รู้อย่างนี้แล้วหัดติดรอยยิ้มไว้ที่มุมปากเป็นประจำนะ ครับ
6.      เรียนรู้จากความผิดพลาด
ก็สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้างยอมรับความจริง หันมาทบทวนดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป..... เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม
7.      ทนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเราชาวโรทาเรียนตระหนักและทราบดี คงไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุขโดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะครับ แม้ว่าชีวิตของคุณในแต่ละวันจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ที่รู้จักมักจี่กันมานานซะบ้าง
 
แวะไปหากัน เมื่อโอกาสอำนวย ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่ หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนซี้ไว้ พึ่งพาและให้กำลังใจกันได้นะ


SCAMPER คืออะไร ?

SCAMPER คืออะไร ?
ความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริง ประกอบด้วย
การเห็น สิ่งที่ทุกคนมองเห็น
การคิด สิ่งที่คนอื่นไม่เคยคิด และ
การทำ สิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ !

SCAMPER พัฒนา โดย Bob Eberle เป็นเทคนิคในการหาคำตอบเพื่อ
ค้นพบความคิดใหม่ (new ideas) ผลิตภัณฑ์ใหม่ (new products)
หรือบริการใหม่ (new services
การใช้เทคนิค SCAMPER
SCAMPER เป็นคำย่อเพื่อใช้ในการตั้งคำถามเพื่อสร้างความคิดใหม่ที่แตกต่าง
ในปัญหาที่เราเผชิญอยู่

S = Substitute (การทดแทน) ลองคิดดูว่า บางส่วนของผลิตภัณฑ์ / กระบวนการ
เราหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้หรือไม่ เช่น สตาร์บัคส์ใช้ กาแฟสายพันธุ์ใหม่ เครื่องสำอางใส่
สารต้านอนุมูลอิสระ ไวตามิน สารธรรมชาติ
คำถามที่ใช้ถามเสมอ คือ อะไรที่เราจะนำมาทดแทน เพื่อทำให้ดีขึ้น ? เราจะทดแทน
สถานที่/เวลา/วัสดุ/หรือคนได้อย่างไร ?
C = Combine (การผสมหรือผนวกรวม) เป็นการนำสิ่งสองสิ่งหรือ มากกว่ามารวมกัน
เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ แตกต่างไปจากเดิม เช่น การสร้างรถไฮบริด (ไฟฟ้า+ปิโตรเลียม) เพื่อการประหยัด
และลดมลภาวะ เมดิคอลสปา (การผนวกรวมแพทย์สมัยใหม่กับแพทย์แผนตะวันออก)
เพื่อไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ การทำคอนเวอร์เจนซ์ ผนวกรวมเทคโนโลยีแบบมีสาย,ไร้สาย
อินเตอร์เนท เคเบิลทีวี การโอนเงินและความบันเทิงหลายรูปแบบเข้าด้วยกันเป็น นวัตกรรม
การบริการแบบใหม่
คำถามที่ใช้ถามเสมอคือ จะใช้วัสดุ/รูปแบบ/กระบวนการ/ คน/ผลิตภัณฑ์/ส่วนประกอบใด
มาผนวกรวมกันได้บ้าง
A = Adapt (การปรับเปลี่ยนให้ก้าวหน้า/ดีขึ้น) เช่นการปรับเปลี่ยน แนวคิดของ
โรงพยาบาล (ที่ดูน่ากลัว) ให้มีการบริการ/ความสวยงาม เหมือนโรงแรม ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ของ
Hospitel (Hospital + Hotel)
คำถามที่ใช้ถามเสมอคือ เราจะเปลี่ยนส่วนใดของ ผลิตภัณฑ์ได้บ้าง ? เปลี่ยนไปเพื่ออะไร ?
ถ้าเปลี่ยนแล้วบุคลิกของผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนไหม ?

M = Modify/Magnify/Minify (การดัดแปลงแก้ไข/การเปลี่ยนแปลงรูปแบบคุณสมบัติ/
การขยายให้ใหญ่ขึ้น คุณภาพดีขึ้น/การทำให้เล็กลง/เบาลง/ช้าลง ความถี่ลดลง) เช่น
การคิดค้นจอ LCD แบบพิเศษที่เล็กลง/เบาขึ้นเป็นทั้งจอ TV, จอComputer, จอวงจรปิด ฯลฯ
คำถามที่ใช้ถามเสมอคือ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราดัดแปลงกระบวนการบางอย่าง ?
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราเพิ่มส่วนประกอบให้มากขึ้น/ใหญ่ขึ้น ?
P = Put to other purposes/uses (การนำไปใช้เพื่อประโยชน์หรือวัตถุประสงค์อื่น)
คิดว่าเราจะใช้ผลิตภัณฑ์/กระบวนการที่เรามีอยู่ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นอย่างไร หรือนำกลับมาใช้
(reuse) ได้อย่างไร หรือจะนำผลิตภัณฑ์ของเราไปขายในตลาดอื่นได้อย่างไร เช่น การนำมูลสัตว์มาทำแก๊ส
การนำวัชพืช มาถักทอเป็นกระเป๋า/เครื่องใช้สำหรับตลาดระดับสูง
คำถามที่ใช้ถามเสมอคือ มีตลาดอื่นไหมที่สามารถใช้ ผลิตภัณฑ์นี้ เราอาจใช้ผลิตภัณฑ์นี้
กับใคร หรือคนที่อื่นได้อีกไหม ?
E = Eliminate (การตัดทิ้ง/การขจัดออก) อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราตัด บางส่วนของผลิตภัณฑ์/ SM
กระบวนการ/ออกไป หรืออาจจะตัดส่วนนั้นทั้งหมดทิ้ง ถ้าเราเปรียบเทียบดูผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้าน
เช่น เตียงนอน/รถยนต์ในอดีตและปัจจุบันเราจะเห็นการตัดทิ้งหลายส่วนออกไป ทำให้ดูง่าย ๆ
สวยงาม ไม่เทอะทะ
คำถามที่ใช้ถามเสมอคือ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราตัดบางส่วนออก มีวิธีอื่นที่จะทำให้เรา
สัมฤทธิ์ผลได้โดยไม่ใช้วิธีการที่เราเคยทำไหม?
R = Rearrange/Reverse (จัดระบบใหม่/เปลี่ยนทิศทางใหม่) ลองคิดดูว่าเราจะทำอย่างไร
ถ้าบางส่วนของผลิตภัณฑ์/กระบวนการ/ทำงานกลับทาง หรือแตกต่างจากระบบเดิม หรือจะทำอย่างไร
ถ้าเราต้องเปลี่ยนระบบ/วิธีการทำงานใหม่ เช่น การใช้นักเรียนสอนนักเรียนใช้ตู้เย็นฟอกอากาศ
เป็นต้น
คำถามที่ใช้ถามเสมอคือ จะเกิดอะไร ถ้าเรากลับทิศทางการทำงาน/หรือลำดับการทำงานใหม่
เราจะทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้ามได้อย่างไร ลองใช้เทคนิค SCAMPER ดู จะพบว่าสามารถปรับปรุง
และค้นหาความคิดใหม่ ๆ ได้มากมายทีเดียว.


ที่มา รศ.ดร.วิทยา ดำรงเกียรติศักดิ์  คณบดีคณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้